Hello,This is me!

A Reeve

Crustacean Man Thai Traditional Medical Doctor Journey is my passion

About me

Hello

I'mReef Keeper

Doctor of Thai Traditional Medicine

I'm Worawut, you can call me Reef. I'm coming from Nakhon Si Thammarat, Thailand. About my education. I have completed my Bachelor of Applied Thai Traditional Medicine at Thammasat University. I have an interest in Thai herbal medicine, Royal Thai massage for treatment and integrative medicine.

Sometimes when I saw a lot of gathering I feel little bit nerves due to shyness and it is my biggest weakness. I love to help people who are helpless. I don't have specific hobbies but in my leisure time, I prefer to listening to music and sometimes reading story books.

That's all about me and thank you very much for visiting my site.
เป็นคนขี้ลืม เลยต้องมีพื้นที่ขีดเขียน เก็บไว้อ่านตอนแก่

experience

Ministry of Public health

9th Feb 2017 - Present

Thai Traditional Medical Doctor Practitioner Level (Doctor)
Department of Thai Traditional and Alternative Medicine

Thammasat University Hospital

1st Oct 2015 - 8th Feb 2017

Applied Thai Traditional Medical Center
Faculty of Medicine, Thammasat University

Conservation Club Thammasat University

2012 - 2014

President and member club of Anurak TU

Khiensa Hospital and Thachang Hospital

4th Jan - 30th Mar 2015

Internship for Applied Thai Traditional Medicine
Surat Thani province

Reef Life

Watch the sun rise

This is the first thing that I should to do everyday if I can.

Get out in nature

Makes me more creative and may even make me a better person.

Honey time

Spend time with those I love most. Let them know I'm thinking about them.

Laugh out loud

Laughing is one of the most therapeutic things I can do for myself every day.

Learn something new

Make it a point to feed myself knowledge every day. Don't stop learning.

Planning tomorrow

Take 10 minutes at the end of the day to plan tomorrow.

Story Me

รีวิวทุนรัฐบาลจีน (CSC)


ก่อนอื่น....ทุนที่เราได้รับนั้น คือ ทุนรัฐบาลจีน 
(Chinese Government Scholarship: CGS) 
หรือที่เรามักจะได้ยินเค้าเรียกกันว่า ทุน CSC
ซึ่งก็ย่อมาจาก China Scholarship Council
รายละเอียดหลักๆ ดูได้จากที่เว็บนี้เลย
http://www.campuschina.org/index.html

CSC ก็คือหน่วยงานหลักที่คัดเลือก
ผู้มีคุณสมบัติตามที่เค้ากำหนด
ให้ได้รับทุนมาเรียนที่จีนนั่นเอง

โดยทุน CSC มีรายละเอียดหลักๆ เลยก็คือ
⏩ เป็นทุนสำหรับเด็กปริญญาตรี โท และเอก
    หรือแม้กระทั่งเรียนปรับภาษาก่อนเรียน major
    หมายถึงให้ทุนสำหรับผู้ที่อยากขอทุนเรียนต่อ
    แต่พื้นฐานภาษาจีนไม่มีหรือยังไม่แน่นพอ
    โดยให้เรียนก่อน 1 ปีก่อนเข้าเรียนตัว major

⏩ เลือกมหาลัยไหนก็ได้ในจีน ที่เข้าร่วมกับ CSC
    ซึ่งส่วนใหญ่ม.ในจีน มีความร่วมมือกับ CSC อยู่

⏩ ขอได้ทุกสาขาไม่จำกัด ได้ทั้งหลักสูตรที่เรียน
    เป็นภาษาจีนและภาษาอังกฤษ

⏩ มีหรือไม่มีใบรับรองด้านภาษาก็ได้ แต่ส่วนใหญ่
    ถ้าเป็นม.ดังๆ เค้าจะระบุไว้เลยว่าให้แนบเอกสาร
    รับรองทางภาษาด้วย ในส่วนคะแนนภาษานั้น
    ถ้ามีก็จะใช้ HSK ที่ระดับ 4 ขึ้นไป
    หรือ IELTS 5.5 ขึ้นไป หรือ TOEFL 80 ขึ้นไป
    (ทั้งนี้แต่ละม.จะ require ไม่เหมือนกัน)
 
    ส่วนเราใช้ TOEFL ยื่นตอนสมัคร
    แนะนำให้มีคะแนนไว้จะดีที่สุด
    เพราะปีนี้เพื่อนในคลาสเรายื่นคะแนนภาษา
    กันมาทุกคน ไม่ว่าจะภาษาจีนหรืออังกฤษก็ได้
    แต่ขอให้มี เพราะเปอร์เซ็นได้ทุนสูงขึ้นนั่นเอง


ทุน CSC มี 3 ประเภท คือ Type A, B และ C
⏩ Type A คือ ผู้สมัครทำการขอผ่านสถานทูตจีน
     ในประเทศตัวเองที่เป็นพลเมืองอยู่
     รายละเอียดทุนนี้ เท่าที่เราทราบจะเป็น ป.ตรี
     ที่สมัครผ่านช่องทางนี้ แต่ป.โท และเอก
     ก็สามารถขอผ่าน Type A ได้เหมือนกันนะ

⏩ Type B คือ สมัครโดยตรงกับมหาวิทยาลัยที่
     ตนเองสนใจและอยากจะสมัครเข้าเรียน
     บางมหาลัยมีค่าสมัคร บางที่ก็ไม่มีค่าสมัคร
     ให้อ่านรายละเอียดผ่านเวบไซต์ของแต่ละ
      มหาลัยดูดีๆ ซึ่งเราสมัครผ่านประเภทนี้

⏩ Type C คือ การขอกรณีพิเศษ ซึ่งมักเป็น
     โครงการร่วมมือระหว่างรัฐบาลของ
     ประเทศนั้นๆ กับรัฐบาลจีน
     (ซึ่งรายละเอียดประเภทนี้เราไม่รู้เลย)


แล้วทุนนี้ให้อะไรกับเราบ้าง....
เนื่องจากทุนนี้เป็น
ทุนเต็มจำนวน (Full Scholarship)
นั่นหมายถึง ทุนนี้จะยกเว้นค่าเล่าเรียน
ยกเว้นค่าสมัคร ครอบคลุมค่าประกันชีวิต
ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในการเรียน เช่น
laboratory fee, internship fee,
textbook fee ค่าที่พัก (ในมหาวิทยาลัย)
รวมถึงให้เงินเดือนด้วยนะ
ถ้าระดับป.ตรีก็เดือนละ 2,500 หยวน
ป.โทเดือนละ 3,000 หยวน
ปริญญาเอกเดือนละ 3,500 หยวน

คำถามคือ หากเราสนใจทุนนี้
เราควรเริ่มจากตรงไหนก่อนดี
อย่างแรกเลย....
ตั้งคำถามกับตัวเองก่อนเลยว่า
เราอยากมาเรียนที่จีนหรือไม่
ถ้าคำตอบคือ “ใช่” ก็เริ่มจาก
หาข้อมูลหลักสูตร มหาลัย เมือง
หรือมณฑลที่เราสนใจก่อนเลย
ว่าเราต้องการประมาณไหน

สำหรับทุน CSC จะอนุญาตให้สมัคร
ได้ไม่เกิน 3 มหาวิทยาลัย
ซึ่งกฎนี้เพิ่งมีเมื่อปีที่แล้ว
เพราะปีก่อนๆ จะสมัครกี่ม.ก็ได้

ข้อมูลด้านหลักสูตร ให้เข้าที่เว็บนี้เลย
http://www.campuschina.org/
จะมี tab ให้เลือกหา Universities&Programs

มีบอกมหาวิทยาลัยในแต่ละมณฑลในจีน
มีทุกมหาลัยเลย สามารถหาสาขาที่อยากเรียน
มณฑลที่อยากไป มหาวิทยาลัยที่อยากเข้า
(ม.ที่มีดอกจันแดง * หมายถึงคือรองรับทุน)

ในเว็บจะมีบอกระยะเวลาหลักสูตรที่เรียน
ภาษาที่ใช้เรียน เอาไว้ใช้ประกอบการ
ตัดสินใจสมัครได้เลย

แนะนำว่าหลังจากเราเลือกมหาวิทยาลัย
ที่เราชอบเสร็จแล้ว ควรกลับไปเช็คกับ
เว็บของ กพ.ด้วย ว่าได้รับการรับรอง
วิทยฐานะแล้วหรือไม่ ที่เว็บนี้เลย
http://e-accreditation.ocsc.go.th/acc/search/internew/maininter.html


เมื่อได้หลักสูตรและม.ที่เราสนใจแล้ว
ขั้นต่อมา คือการเตรียมเอกสารนั้นเอง
ซึ่งถือว่าวัดความพยายามของเราอยู่เหมือนกัน
เพราะโจทย์หลักของการได้ทุนนี้ คือ
ความพิถีพิถันในการเตรียมเอกสารนั่นเอง


เอกสารที่ใช้หลักๆ ของทุนนี้ ประกอบไปด้วย
1) ใบสมัครทุนที่เรากรอกผ่านเว็บไซต์
     https://studyinchina.csc.edu.cn/
2) วุฒิการศึกษาสูงสุด/ใบปริญญาบัตร
3) Transcripts
4) A Study or research plan
     จะเขียนเป็นจีนหรืออังกฤษก็ได้
     แต่ต้องไม่น้อยกว่า 800 คำ
5) หนังสือ Recommendation
     จากอาจารย์ระดับ รศ. ขึ้นไป 2 ท่าน
6) ใบตรวจสุขภาพจากรพ.ของรัฐ
     ตามแบบฟอร์มของรัฐบาลจีน
     ซึ่งหาโหลดได้ในเว็บ หรือ กูเกิล
7) ใบรับรองคะแนนทางภาษาจีน หรือ อังกฤษ
     ไม่ว่าจะ HSK, IELTS or TOEFL (ถ้ามี)
8) เอกสารอื่นๆ ถ้ามี เช่น CV หรืออะไรก็แล้วแต่
    ที่แสดงศักยภาพของเรา สามารถแนบส่งไป
     เพื่อการพิจารณาเพิ่มเติมได้

เอกสารบางอย่าง เช่น Transcripts, ใบปริญญา
บางม.ให้เราต้องรับรองกับกงสุลก่อน
หรือบางม.ไม่ต้องรับรองก็ได้
อันนี้ลองเสี่ยงดวงดูได้ แต่แนะนำให้ไปรับรอง
ไว้หน่อยก็ดีจะได้ไม่มีปัญหา
หรือเสียเวลาภายหลังเหมือนเรา

สำหรับรายละเอียดเอกสารแต่ละอย่าง
หากสงสัยหรือไม่เข้าใจตรงไหนถามเราได้
เราเก็บไฟล์ไว้หมด พร้อมส่งให้ดูเป็นตัวอย่างได้

หลังจากเราเตรียมเอกสารครบทุกอย่างแล้ว
ก็ถึงขั้นตอนของการสมัครแล้ว
หากเราสมัครทุนประเภท Type B
สิ่งแรกที่เราต้องรู้คือ วันหมดเขตรับสมัคร
แต่ละม. จะไม่เหมือนกัน เราต้องเช็คดูดีๆ
แต่ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ราวๆ สิ้นเดือน มี.ค.
บางม.อาจจะสิ้นเดือน เม.ย. หรือ ต้น. พ.ค.
ฉะนั้นต้องดูให้ดี ห้ามลืมเด็ดขาด

ถ้านับระยะเวลาจากนี้ไป...
จนถึงก่อนหมดเขตรับสมัคร
เราก็จะมีเวลาราวๆ 3 เดือนนิดๆ
ในการเตรียมเอกสารทุกอย่าง
สำหรับเรา เรามองว่ายังไงก็ทัน
หากเราตั้งใจจะสมัครจริง
เพราะปีก่อนเราก็เริ่มเตรียมเอกสาร
ช่วงราวๆ เวลานี้เหมือนกัน
อย่างไรก็ตามต้องประเมินดีๆ
เพราะเอกสารบางอย่าง
อาจจะใช้เวลานานสักหน่อย

เอาล่ะ ถึง ขั้นตอนการสมัคร step by step
1. เข้าเว็บ https://studyinchina.csc.edu.cn/
    เพื่อทำการสมัคร ปีนี้เราไม่แน่ใจว่าอย่างไร
    แต่ปีก่อน หากเราอยากสมัคร 3 มหาวิทยาลัย
    ก็ต้องใช้ 3 email สมัครแยกแต่ละ account

2. ทำการกรอกรหัสมหาวิทยาลัย “Agency No.”
    รวมถึงรายละเอียดส่วนตัว และสาขาที่จะสมัคร
    ให้เรียบร้อย แล้วแนบเอกสารที่เราได้เตรียมไว้
    upload ให้เรียบร้อย หลังจากนั้นเราก็ print
    เอกสารที่เรากรอกออกมาเก็บไว้
    หากสมัครมากกว่าหนึ่งมหาวิทยาลัยก็ให้
    ทำแบบนี้เหมือนกันทุกครั้ง
    เป็นอันเสร็จสิ้นกับการสมัครกับระบบ CSC
    แต่ยังไม่เสร็จทุกอย่างนะ เพราะเราต้องทำ
    ตามระบบรับสมัครของแต่ละม.อีก

3. จบขั้นตอนนี้ก็ให้ทำตามประกาศการรับสมัคร
    ของแต่ละมหาวิทยาลัย ซึ่งจะแตกต่างกันออกไป
    แต่เท่าที่เราสังเกตมา จะมีหลักๆอยู่ 3 แบบ คือ
      -  เตรียมเอกสารให้ครบ แล้วส่งเอกสารทั้งหมด
         ไปยังม.นั้นๆ ซึ่งม.ส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้
      -  เข้าเว็บมหาวิทยาลัยเพื่อสมัครผ่านเว็บไซต์
         หลังจากนั้นเตรียมเอกสารให้ครบ
         แล้วส่งเอกสารทั้งหมดไปยังมหาวิทยาลัย
      -  เข้าเว็บมหาวิทยาลัยเพื่อสมัครผ่านเว็บไซต์
         แต่ไม่ต้องส่งเอกสารไปยังมหาวิทยาลัย

ทั้งนี้ทั้งนั้น แต่ละม.จะมีระบบไม่เหมือนกัน
บางม.ให้เราต้องจ่ายค่าสมัคร
บางม.ไม่ต้องจ่ายอะไรเลย
ทีนี้ก็อยู่ที่เราเลือกละครับ
ว่าจะโดนแบบไหน ขอให้ตรวจสอบกันให้ดี

เมื่อเราสมัครครบทุกขั้นตอนแล้ว
ทีนี้ก็หมั่นเช็คอีเมล์ครับ
เพราะเอกสารเรามีปัญหาตรงไหน
ทางม.จะติดต่อเรามาผ่านอีเมล์
และที่สำคัญอย่าลืมเข้าไปเช็คสถานะ
การสมัครในเว็บ CSC ด้วยอีกทาง
เพราะจะช่วยยืนยันว่าเอกสารเรา
ไม่มีปัญหาอะไรแล้วจริงๆ

หากครบทุกขั้นตอนแล้ว...
ทีนี้ก็ทำได้แค่ รอ รอ รอ แล้วก็รอๆ
ซึ่งยอมรับว่าประกาศผลช้ามาก
บางม.ก็อาจจะประกาศเร็ว
ช่วง มิ.ย. ก็อาจรู้ผลคร่าวๆ แล้ว
บางม.ก็ประกาศ ส.ค.
ซึ่งใกล้กับเปิดเทอมช่วง ก.ย. มาก
ทำให้มีเวลาในการเตรียมตัวน้อยมาก
ก็อยู่ที่ว่าเราจะโดนแบบไหนละครับ
เอาเป็นว่าขอให้โชคดีครับ

หากสงสัยตรงไหน ถามเราได้เลย
หรือจะเข้าไปในเฟซบุ๊ค
กลุ่ม Thai CSC ก็ได้นะ
กลุ่มนี้ให้ข้อมูลอะไรหลายๆ อย่าง
ได้มากเลยทีเดียวครับ

จบละจ้า...



By....

Jin Zhiming 
(金智明)





     

ทฤษฎีการเขี่ย

เราชอบกินข้าวมันไก่
แต่ไม่ชอบกินหนังที่ติดมาด้วย
คือไม่กินเลยก็ว่าได้
เวลาสั่งตามร้านก็จะบอกว่าไม่เอาหนัง
แต่บางทีแม่ค้าก็เผลอใส่หนังติดมาด้วย
เราก็เขี่ยๆ หนังไว้ข้างๆ ไม่ได้คิดจะเลิกกิน

กับความสัมพันธ์ที่เราชอบ
เจออะไรที่เราไม่ชอบปะปนมา
ก็พยายามเขี่ยออก คงไม่เททิ้งทั้งหมด

มันน่าเสียดายที่อุตส่าห์ได้มาเจอกัน

ประโยชน์จริงหรือ?


ประโยชน์

ประโยชน์ของร่ม อยู่ที่กันแดดกันฝน
ประโยชน์ของรถยนต์ อยู่ที่ขับขี่ไปได้ดังประสงค์
ประโยชน์ของอาหาร อยู่ที่ทำให้เราอิ่มและเติบโตแข็งแรง
ประโยชน์จึงเป็นความดี

ไม่มีอะไรดีกว่าอะไร โดยไร้ประโยชน์
แต่คนมักทุ่มเถียงกันว่า อะไรดีกว่าอะไร
โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์

เด็กเล็กชอบบอกว่า บ้านฉันดีกว่าบ้านเธอ
หนุ่มสาวบอกว่า คนรักของเราดีกว่าทุกคนในโลก
ผู้ใหญ่พูดว่า ความคิดเขาดีที่สุด ถูกต้องที่สุด
ทั้งที่จริง ความดีกว่าดีที่สุดนั้นเอง
เขาวัดเอาจากประโยชน์ที่มีต่อตัวเขาเป็นสำคัญ

ในโลกนี้ไม่มีอะไรดีกว่าอะไร
มีแต่ว่า อะไรเป็นประโยชน์กับอะไร เท่านั้น



-เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์-
หนึ่งได้แรงใจ 2545

Tonight :(

เป็นอีกครั้งที่ยังไม่นอน
ทั้งๆ ที่เป็นเวลาชาร์จแบตร่างกาย
ไม่แปลกใจที่ทำไมไม่เคยผ่องใสสักที
ก็ใจชอบนึกอะไรไปเรื่อยเปื่อยนี่หว่า
ร่ายกายร้องโอดโอยแล้ว... แต่
ใจข้าขออีกแป๊บนึงนะ

อากาศหนาวเมื่อคืน
มาได้เพียงแค่หลับฝัน
ตื่นขึ้นมาก็พบว่ามันไม่มีอยู่จริง
อุณหภูมิกลับไปเหมือนวงจรปกติ
ค่ำคืนนี้ก็เช่นกัน... ตีสองสิบห้านาที
ไม่หนาวอีกต่อไปแล้ว...

เหตุที่นอนไม่หลับ
หนึ่งคือกายเรานี่แหละเป็นต้นเหตุ
ปวดสะบักร้าวลงแขนแปล๊บจริงๆ
ความเป็นหมอที่มีไม่ช่วยอะไร
ครั้นจะเค้นนวดตัวเองก็ไม่หาย
ทำได้แค่ยึดกล้ามเนื้อเบาๆ แล้วทายา

เหตุอีกอย่างนอกจากกาย
หนีไม่พ้นความวุ่นวายที่อยู่ในใจ
ไม่รู้ว่าเพราะอะไร ไม่ชัวร์ว่าใช่หรือเปล่า
แต่พอเดาได้ลางๆ ว่าเหตุรุมๆ ในใจ
คือ... ภาระอันหนักอึ้งของตัวเรา
ไม่ใช่เรื่องงานร้อยเปอร์เซ็น
และก็ไม่ใช่เรื่องเธอร้อยเปอร์เซ็น
แต่ที่แน่ๆ มันคือเรื่องเราเองร้อยเปอร์เซ็น

ได้แต่ขอความวิงวอนจากพระผู้เป็นเจ้า
สักวันเราจะต้องสดใสและก้าวต่อไปได้มั่นคง
ใจที่ป่วยต้องกลับมาดีให้ได้...
จิตเป็นนายแล้วกายจะไม่เป็นบ่าวได้อย่างไร
ขอสุขภาพให้แข็งแรง
และคืนนี้เราต้องหลับได้อย่างสงบใจ

อินชาอัลลอฮ์ :-)


คืนนี้มันหนาว


ลมแผ่วๆ เย็นหวิวๆ เริ่มพัดมาแล้ว
เป็นสัญญาณเตือนของเหมันตฤดู
อันที่จริงความหนาวยังสะกิดแค่บางเบา
แต่ทำไมใจดวงนี้รู้สึกหนาวแปลกๆ
มันหนาวจริงๆ นะ มันหนาวเหลือเกิน
จะห่มผ้าผืนเก่าๆ ผืนนี้ก็ไม่มีคลาย
เครื่องส่งความเย็นต่างๆ ถูกปิดลง
แอร์ พัดลม ภายในห้องคงถามหา
ว่าทำไมเจ้าของไม่สนใจมันเลย
ค่ำคืนนี้เจ้าของเลยแหงนถามเจ้าแอร์
ว่าช่วงนี้อยากพักผ่อนบ้างมั้ย?
เจ้าของไม่ได้ลืมเลือนเธอหรอก
ถึงอากาศข้างนอกจะหนาวเหน็บเพียงใด
เธอก็จะยังมีความสำคัญกับเจ้าของ
เพราะ... เธอมีค่าในตัวของเธอเอง
เธอควรได้หยุดพักให้รื่นรมย์
รอเพียงวันเวลาที่เหมาะเจาะ
หากความเย็นยะเยือกในใจนี้ลดลงไป
เธอก็จะได้กลับมาทำหน้าที่ของเธอดังเดิม...

-ด้วยรักจากเจ้าของ-

19/12/2559
02.55 น.


First time


"เฮ้ยมึง ไปดูบุรีรัมย์เตะกันป่าว" 
เปรยเล่นๆ กับเพื่อนหลังจากที่เห็นโปรแกรมไทยลีก
นัดที่ Buriram ต้องมาเตะกับ Bangkok United ในฐานะทีมเยือน
ประโยคที่ได้รับกลับมา คือ "เอาดิ กูแฟนบุรีรัมย์พอดี"
เดินข้ามสะพานลอยมา ที่จอดรถเต็มหมดแล้ว แฟนๆ จากบุรีรัมย์น่าจะเยอะพอควร
นึกดูดีๆ แล้วตั้งแต่สมัยตอนอินทรีย์เพื่อนตำรวจ
ใช้สนามมธ.รังสิตเป็นสนามเหย้า
เราไม่เคยได้เข้าไปชมการแข่งขันไทยลีกเลยนะ
ทั้งๆ ที่หากเป็นนักศึกษาจะได้รับส่วนลดค่าบัตร 50%
ถามว่าจริงๆ อยากดูบ้างมั้ย ใจจริงก็อยากอยู่แหละ
แต่ก็เทตลอด ไม่ว่างบ้าง ปั่นงานบ้าง เหนื่อยบ้าง คนเยอะบ้าง
ก็อ้างเหตุผลไปเรื่อยแหละ สุดท้ายก็ไม่เคยเข้าไปดูไทยลีกเตะสักกะที

วันนี้ถือว่าโชคดี โหมดอารมณ์อยากเข้าไปดูบรรยากาศบอลไทยลีกบังเกิด
ว่าแล้วก็เดินออกจากหอกันสองคนมุ่งหน้าจากทียูโดมไปยังเมนสเตเดี้ยม
ต่อคิวรอซื้อบัตร
วันที่ 6 มีนาคม 2559 เวลา 18.00 น. เป็นเวลาเริ่มเตะ
ข้าพเจ้าและเพื่อนเดินเตาะแตะๆ มาถึงสนามเลทไป 10 นาทีได้มั้ง
ข้างในสนามก็มีเสียงเฮเป็นระยะๆ แล้ว ผู้คนนอกสนามก็ยังขวักไขว่
คนยืนต่อแถวรอซื้อบัตรกันให้แน่น....
ฝั่งที่เรามายืนต่อแถวคือฝั่งเจ้าบ้าน ก็ทีม Bangkok นั่นแหละ
แอบเหลือบมองบรรยากาศรอบๆ สนามก็ไม่ต้องแปลกใจ
มีแต่คนใส่เสื้อสีชมพู สีน้ำเงิน สีขาว โลโก้ทีมบุรีรัมย์กันทั้งนั้น
ทีมนี้แฟนคลับเหนียวแน่นทุกพื้นที่จริงๆ เลย ต้องยอมรับ

ถามว่าในไทยลีกชอบทีมไหนเป็นพิเศษ
เห็นทีจะไม่มีอะไรดึงดูดใจเท่าไหร่
ถ้าเอาความเคยชินตั้งแต่เด็กก็คงจะเป็นเทโร ไม่ก็ชลบุรีเอฟซี
แต่ถ้าเอา ณ ปัจจุบัน ก็คงหนีไม่พ้นเมืองทอง
เพราะนักเตะในทีมนี้เราชื่นชอบอยู่หลายคน

เราไม่ใช่แฟนคลับทีมบุรีรัมย์ รวมถึงไม่ใช่แฟนเจ้าบ้านด้วย
แต่เนื่องจากสนามที่ใช้แข่งขันอยู่ในมหา'ลัยเรา
เราจึงต้องนั่งเชียร์แบงก์คอกยูไนเต็ดไปโดยปริยาย
เพราะอะไรนะหรือ เพราะได้ส่วนลดค่าบัตรนะสิ
จากหนึ่งร้อยบาทลดเหลือห้าสิบบาทถ้วน
ว่าแล้วก็จัดมาสองใบ แต่อย่าลืมนะตอนซื้อต้องพกบัตรนศ.ไปด้วย
เรียนก็จบแล้วยังแอบใช้สิทธิ์นักศึกษาอยู่
ถ้าใครถามก็บอกว่าเรียนแพทย์ครับ ไม่ก็ยังไม่จบครับ ฮ่าๆ
ได้บัตรมาแล้ว สิทธิ์นักศึกษาด้วยนะ แอบเนียน อิอิ
โอเคได้บัตรมาแล้ว ขั้นตอนต่อไปเดินหน้าเข้าสนามรัวๆ
ด้วยความที่มาสายนั่นเอง ทำให้พลาดหลายอย่างไป
อย่างแรกเลย ที่นั่งดีๆ หมดเรียบร้อย ต้องไปนั่งเกือบๆ ท้ายสนาม
รวมถึงในระหว่างที่กำลังซื้อบัตรนั้น ข้างในก็ยิงประตูกันไปสองสามลูกแล้ว
เอาเป็นว่าเข้ามานั่งดูเกมแข่งขันได้ไม่ถึงสิบนาทีกรรมการก็เป่าหมดครึ่งแรก
จบเฮ่ ฮู้วววววว เดินออกมาหาอะไรกินดีกว่า
มุมนี้แหละ ใกล้สุดแล้ว
เริ่มต้นครึ่งหลัง เกมก็เข้มข้นดีนะ นักเตะฟาดงวงฟาดงากันเต็มที่
ทั้งใบแดงใบเหลืองกันให้พรึ่บ นัดนี้ดูไปก็สังเกตแฟนบอลทั้งสองทีม
จะเห็นว่าแฟนบอลบุรีรัมย์เชียร์กันมันมาก ดูแบบเข้าที่เข้าทางกว่าฝั่งที่เรานั่ง
ก็อย่างว่าแหละเนอะ ทีมนี้สร้างปรากฏการณ์ให้ไทยลีกบูมนี่หว่า
ไม่แปลกใจหรอกถ้ากองเชียร์จะดูหนาตาและเฮฮากันแบบนี้

เรื่องน่าขำอย่างนึงตอนที่เรากำลังเชียร์นั้น คือ...
เผลอเฮดังลั่นตอนบุรีรัมย์ยิงประตูได้อยู่คนเดียว
ท่ามกลางกองเชียร์แบงก์คอกยูไนเต็ดนี่แหละ 5555
มองจากไกลๆ เฮฮาตามประสา
โดยรวมวันนี้ถือว่าสนุกๆ สนาน เฮฮา ผ่อนคลายไปละกัน
บุรีรัมย์เอาชนะแบงก์คอกไป 5-3
ดับฝันนัดเปิดฤดูกาลที่อยากสวยหรูของแบงก์คอก
แต่เราว่านัดนี้เจ้าบ้านเล่นได้ดีเลยนะ สู้กับบุรีรัมย์ได้สูสีเลยทีเดียว
อาจไม่เฉียบคมเท่า สกอร์เลยจบแบบนี้

อ่อลืมบอกไป...
ครั้งหน้าถ้าจะมาดูบอลที่สนามนี้อีก อย่าลืมพกทิชชู่มาด้วยนะ
เก้าอี้นั่งนี่แบบฝุ่นเกาะกรังจนไม่กล้านั่งเลย
ถามว่าสุดท้ายนั่งมั้ย ก็ต้องยอมนั่งแหละ เสีย 50 บาทแล้วนี่หว่า 555
นัดต่อไปเมื่อไหร่ยังไม่ได้ดูตารางไทยลีกเลย
แต่ถ้าทีมใหญ่ๆ มาเยือนอาจต้องตีตั๋วมานั่งเชียร์ขอบสนามอีกละกัน

ว่ากันว่า "ครั้งแรก" มักจะเจ็บเสมอ?
วันนี้ที่ดู ถือเป็นนัดเปิดฤดูกาลไทยลีกนัดแรก
ส่วนข้าพเจ้า...ดูบอลไทยลีกสดๆ ครั้งแรก
แบงก์คอกแพ้บุรีรัมย์ถามว่าเราเจ็บมั้ย....ก็ไม่นะ ไม่เห็นจะเจ็บอะไรเลย
แต่พอเดินกลับมาถึงหอเท่านั้นแหละ เจ็บทันที !!!
- ผ้าที่ซักไว้ยังไม่ตาก
- สรุปงานประจำเดือนยังไม่เสร็จ
- โปสเตอร์งานที่ต้องทำก็ยังไม่เริ่ม
ครั้งแรก สำหรับเราก็เจ็บขึ้นมาเลยทันที T_T
ขอตัวไปเคลียร์งานต่อละกันนะ

คืนนี้ราตรีสวัสดิ์ครับ จุ๊บจุ๊บ

29 Feb


29 กุมภาฯ ทำไม 4 ปีถึงมีครั้ง? 

คำถามนี้ถามเล่นๆ ลอง search google ดูจะพบคำตอบ
คำตอบที่ได้นั่งอ่านตั้งนาน สุดท้ายก็งงอยู่ดี ๕๕๕

สวัสดีวันจันทร์ วันแห่งการทำงาน
วันเริ่มต้นของสัปดาห์ วันที่ใครหลายๆ คนมักจะเกลียด
นึกๆ แล้วก็น่าสงสารวันจันทร์เนอะ เป็นแค่วันๆ นึงในรอบสัปดาห์
ผู้คนในโลกออนไลน์มักระบายผ่านสเตตัสกันว่า เบื่อ เซ็ง วันนี้จัง
อย่ากระนั้นเลย เราเองก็เคยเป็นหนึ่งในคนเหล่านั้นที่แอบบ่นลงโซเชียล

จะว่าไปตอนสมัยอนุบาล ประถม หรือมัธยม เรากลับชอบวันจันทร์นะ
ชอบบรรยากาศตอนเช้าๆ แสดแดดอ่อนๆ เหมือนเป็นวันเริ่มต้นดีๆ หนึ่งวัน
ด้วยความเป็นเด็กด้วยมั้ง เสาร์อาทิตย์หยุดอยู่บ้านก็น่าเบื่อ
วันจันทร์ทีไรตื่นเต้นจะได้ออกไปเจอเพื่อนๆ สักที หลังจากที่อุดอู้อยู่แต่บ้าน
ก็อย่างที่รู้ๆ กันแหละว่าวัยเด็ก คือวัยแห่งการพบเจอ วัยแห่งการวิ่งลุย
เราเชื่อว่าทุกคนก็คงเคยผ่านมาแบบเดียวกัน

ครั้นพอเข้ามหา'ลัยความรู้สึกที่โตขึ้นกลับรู้สึกได้ว่า
ความสุขคือการได้หยุดพัก หยุดอยู่เฉยๆ ซะอย่างนั้นไป
ทั้งๆ ที่วัยนี้คือวัยแห่งการเตรียมความพร้อมสู่การ 'ดิ้นรน' ในชีวิตจริง
ไม่ควรจะมานั่งขี้กงขี้เกียจอะไรอย่างนี้เลย
แต่ถ้าใครอยู่ในวัยเรียนช่วงมหา'ลัย หรือเรียนจบไปแล้ว
คงจะเข้าใจดีในสิ่งที่เราสื่อ ยังไงนะหรอ
ชีวิตนักศึกษาสำหรับเรา มันเหมือนถูกดูดพลังงานออกไปอย่างมหาศาล
มันไม่มีใครคอยจ้ำจี้จ้ำไชเรา ไม่มีใครมาเคี่ยวเราได้เท่ากับเราเคี่ยวตัวเองหรอก
พอเหมือนกับเราทุ่มเทมากขึ้น ความรับผิดชอบที่มากขึ้น
อารมณ์ ณ เวลานั้น ก็คงแบบว่า 'ขอเวลา' เพิ่มอีกหน่อยเหอะวันหยุดจ๋าาาา

เสาร์อาทิตย์ทำไมสั้นอย่างนี้นะ
วันจันทร์อีกแล้วหรอวะ
ยังไม่หายเหนื่อยเลย ขอพักนิดนะ

คำพวกนี้เราสบถมันหลายครั้งมากนะช่วงเรียนป.ตรี
แต่ในใจลึกๆ แล้วเรารู้ตัวเองดีแหละว่าเรา 'ไม่ได้เกลียดวันจันทร์' หรอก
เราแค่อ่อนแอก็เท่านั้นเชื่อดิ ถ้าเราเข้มแข็งจริงๆ อารมณ์หน่ายวันไหนก็จะไม่มี

พอก้าวสู่ชีวิตวัยทำงาน...
ได้ทำงานในสายวิชาชีพที่ร่ำที่เรียนมาแทบกระอักเลือด
แทบจะพูดได้เลยว่า ทุกๆ วันที่ต้องทำงาน มันไม่มีเหตุผลอันใดเลย
ที่จะมานั่งฟูมฟายว่าเกลียดวันนู้นวันนี้ เพราะอะไรหรือ
คิดง่ายๆ เลยนะ ตอนเรียนตัวแปรสำคัญของเราคือเกรดที่จะได้รับ
ขยันมากได้มาก ขยันน้อยได้น้อย ยังไงก็ยังมีเงินกินอยู่ดี (ทุนพก.มก.)
ทำงานปุ๊บ ตัวแปรเราเปลี่ยนทันที ขี้เกียจได้นะ
แต่นั่นหมายถึงรายได้ คนไข้ และประสบการณ์ที่เราอาจต้องเสียไป

สรุปแล้วนะ เราจะเกลียด จะไม่เกลียดวันไหน มันก็เป็นสิทธิ์ของเราเอง
เหนือสิ่งอื่นใด เราอย่าให้ความเกลียดมาทำให้เราต้องพลาดอะไรดีๆ ในชีวิต
เราเชื่อว่าทุกคนมีสำนึกคิดดีๆ อยู่ในใจกันทุกคน
และพร้อมจะนำมันมาใช้ตลอดเวลาแหละ....

บับบาย 29 กุมภาฯ เจอกันอีกที 2563

เวลาที่ทิ้งไป


ช่วงนี้มีงานให้ต้องเคลียร์เยอะเลย
แต่ก็คิดตลอดว่างานมันมากล้นมือไปไม่พอดีกับเวลา
หรือเวลาที่มันหมดไปกับเรื่องไร้สาระ จนไม่พอดีกับงาน

ถ้าจะให้คำตอบได้ ก็คงจะเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า

ชีวิตคนเพิ่งเริ่มทำงาน เพิ่งมีเงินเดือน มีรายได้เป็นของตัวเอง
อาจคิดว่ามีอิสระในการใช้ชีวิตมากขึ้น มีอิสระในการเลือกที่จะ
โยนทิ้งเวลาหรือรักษาเวลาก็ได้ (อย่างนั้นนะหรือ)

เวลามันมีค่ามากเลยนะ แบบถ้าพลาดแล้วหรือพลาดเลย
ไม่ขวนขวาย ไม่คว้ามันไว้ก็ถือว่าเกมโอเวอร์

แล้วทีนี้ก็เป็นหน้าที่เราเองแหละที่ต้องมานั่งทบทวน
และแก้ไขในสิ่งที่ตนเองเลือกจะโยนทิ้งเวลาไป

ในวันสุดท้าย วันแห่งการพิพากษา
พระผู้เป็นเจ้าก็จะถามเราว่าทุกเวลา ทุกนาทีที่เราอยู่บนโลกใบนี้

"เราได้ใช้มันไปในการงานใด มันได้สร้างปมใดๆ ไว้หรือไม่"

แล้วเราก็เองก็ควรเตรียมให้พร้อมสำหรับการตอบคำถามนี้

PAUSE


เคยคิดมั้ยว่าตอนอายุ 25 เราควรจะเป็นยังไง?

นี่คือคำถามที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยแม้แต่อยู่ในหัว
แต่เมื่อถึงจุดๆ นึง จุดที่เริ่มรู้สึกว่าตัวเอง
ยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
จุดที่เหมือนชีวิตตัวเองจะมืดบอด 
เหมือนจู่ๆ ก็ถูกกดปุ่ม pause ยังไงยังงั้น.....

ความฝันที่ว่า.....
เรียนให้จบ ได้เกียรตินิยม 
ได้งานทำดีๆ เป็นที่พึ่งให้กับครอบครัวได้
มันก็เหมือนเราจะทำได้แล้ว 
แต่ความเป็นจริงแล้วสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ คือ
มีแค่คำว่า 'เรียนจบ มีงานทำ' แล้วก็เท่านั้น
ทำไมเราถึงไม่มีความสุขเลยอันนี้เรารู้คำตอบดี...

เราอยากเลี้ยงดูครอบครัวได้เต็มที่มากกว่านี้
แต่ด้วยศักยภาพที่มีอยู่ตอนนี้ 
คงทำได้แค่เพียงส่งเงินเป็นเดือนๆ กลับไป
ด้วยเงินก้อนเล็กๆ ก้อนนึง 
ซึ่งบอกเลยว่าไม่ได้เยอะแยะอะไรมาก
แต่ทุกครั้งหลังจากที่ได้โอนเงินกลับไป 
ทำไมหัวใจเราตื้นตันก็ไม่รู้
สักวันหนึ่งเราคงทำได้มากกว่านี้ อินชาอัลลอฮ์

มาถึงเรื่องที่ว่า แล้วจุดๆ หนึ่ง 
เราวางแผนชีวิตเราไว้ยังไง
ตอนนี้เริ่มสับสนในตัวเองแล้ว
เรียนต่อหรอ....เรียนถึงไหน เอาจนจบ ดร.?
เอาตำแหน่งทางวิชาการด้วยมั้ย
เรียนด้านไหน เรียนที่ไหน แพงมั้ย 
ค่าใช้จ่ายยังไง จะกินจะอยู่ไหวมั้ย
โอ้ยยยย....ชีวิตมืดไปหมด

ทำงานหรอ....จะอยู่ในวิชาชีพนี้ไปจนแก่มั้ย
พัฒนาตัวเองบ้างมั้ย ชำนาญในเรื่องใดยัง
เก่งพอเจอคนไข้หลากหลายแล้วหรือ 
เตรียมรับมือกับคำถามต่างๆ ได้มากแค่ไหน
ทำไมยังรู้สึกว่าตัวเองยังไม่มั่นในใจการรักษาคนไข้เลย 
อันนี้คำตอบยังไม่กระจ่าง

ชีวิตคู่หรอ....โนคอมเม้นท์

ด้านศาสนา....อัซตัฆฟิรุ้ลลอฮ์

เราต้องกลับมาดูตัวเองแล้วล่ะ 
ว่าที่ผ่านมาเป็นบทเรียนยังไงให้เราในอนาคตได้บ้าง
ความผิดพลาด ความหลงระเริง ความฟุ่งเฟ้อ 
ความคร้าน ความมักง่าย ส่งผลเสียยังไง
ความสำเร็จ ความดีงาม ความอ่อนโยน 
ความละเมียด ความสงบ ส่งผลลัพธ์ยังไง
เราย่อมรู้ดีว่ะ :)

จริงๆ ช่วงนี้ถ้าเหนื่อยไป เครียดไป 
เรายอมรับที่ตัวเองจะกดปุ่ม pause ให้ชีวิตบ้าง
แต่พอเรี่ยวแรงกลับมาแล้ว 
เราต้องได้ลู่ทางใหม่ๆ ให้กับชีวิตได้แล้ว

สุดท้ายแล้วบทสรุปก็ขึ้นอยู่ที่เราว่า

"จะให้ชีวิตมันพอสอยู่แค่นี้ หรือจะคอนทินิวกันต่อไป"



TU-CU Drama Traditional


วันนี้ขณะอยู่เวรนอกเวลา

คนไข้ : หมอคิดยังไงเกี่ยวกับ
เด็กธรรมศาสตร์ที่ถือป้ายว่าทหาร?

เรา : อ๋อครับ จริงๆ วันนั้นผมอยู่ในสนามด้วยครับ
ผมว่าจริงๆ แล้วก็ไม่มีอะไรเลยนะครับ
ประโยคในป้ายที่เราเห็นแชร์กันในโลกออนไลน์
จริงๆ มันยังไม่จบนะครับ
ถ้าได้อ่านประโยคหลังจากนั้น
ผมคาดว่าพี่คงจะเข้าใจคำว่า 'ทหาร' หมายถึงอะไร
อีกอย่างนะครับ ปกติ มธ.ก็ล้อเหตุบ้านการเมือง
และก็ล้อนักการเมืองทุกปีนะ
แต่พอดีนักการเมืองปีนี้เป็นทหาร
เลยอาจไม่ถูกใจใครหลายคนนัก
ซึ่งจริงๆ ทุกปีมันก็ต้องมีคนไม่ถูกใจทั้งนั้นครับ.....
(กำลังจะพูดต่อ)

คนไข้ : พี่ว่านะ น้องๆ นศ.ทำน่าเกลียดมาก
ตอนนี้เพื่อนที่ทำงานพี่ก็มองธรรมศาสตร์แย่นะ
ใครต่อใครเค้ามองมหา'ลัยนี้ในแง่ลบกันทั้งนั้นแล้ว
พี่อ่านป้ายนั้นตอนแรกไม่คิดว่าจะเป็นเด็กมธ.ทำ
ทำไมธรรมศาสตร์เดี๋ยวนี้ไม่เหมือนแต่ก่อนเลย
ทหารเค้าเสียสละ ทหารเค้าทำเพื่อชาติ
ทหารเค้า บลา บลา บลาๆๆๆๆๆๆ..."

เรา : ()**%%$887193&
โอ้ยยยย ไปกันใหญ่ละครับพี่ (คิดในใจ)

ใครจะว่าจะกล่าวยังไงไม่รู้
จะหาว่าแก้ตัวแทนมหา'ลัย
จะไม่ส่งลูกส่งหลานมาเรียนมธ.
จะบอกว่า ธรรมศาสตร์มีไว้ทำไม
ก็ช่างเขา.......

รู้แต่ว่าเรา ภูมิใจในสถาบันนี้


-รักนะมธ.-

SORRY

My sincere apologies.

  • ฉันเสียใจ
  • ที่ฉันได้ทำลงไป (ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม)
  • มันทำให้เธอและฉันเจ็บปวด
  • ฉันขอรับผิดชอบทั้งหมด
#การขอโทษเป็นเครื่องมือเยียวยาที่ดีที่สุด
#ผิดมากผิดน้อยไม่สำคัญอยู่ที่ว่าสำนึกผิดจริงหรือไม่

ตามรักคืนใจ


พูดถึงตามรักคืนใน คืนนี้เป็นตอนจบ
นายสิงห์กับหนูนาก็ลงเอยกันด้วยดี

ชอบประโยคๆ นึง ตอนที่หนูนาจะไปเรียนต่อเมืองนอก
นายสิงห์ก็พูดกับคนรักของเค้าว่า

"...คนที่อยู่ใกล้กัน ถ้าไม่เข้าใจกัน
มันก็เหมือนอยู่ไกลกัน
คนที่อยู่ไกลกัน แต่ถ้าเข้าใจกัน
มันก็เหมือนอยู่ใกล้กัน..."

เป็นการให้สัตย์สัญญากับคนรักได้ดีมาก
ไม่ว่าตัวจะไกลกันขนาดไหน 
ถ้ายังรักยังเข้าใจยังซื่อสัตย์กันอยู่
ก็ไม่เห็นต้องกลัวอะไรเลย เนอะ เนอะ

บทส่งท้ายละคร

"เมื่อเรารัก...ด้วยความดี ความบริสุทธิ์ใจ 
และความมั่นคง ไม่มีวันเปลี่ยน
ความรักนั้นย่อมไม่สูญเปล่า"

ลมหนาวมาเมื่อไหร่


เช้าวันจันทร์ ที่ 25 มกราคม 2559
ใครจะไปคิดว่าผ่านพ้นปีใหม่มาจนเกือบจะเข้าเดือนที่สองแล้ว
อากาศจะหนาวเหน็บลงได้ถึงเพียงนี้...

เช้านี้นั่งวินฯ ไปทำงานเป็นปกติ แต่สิ่งที่ไม่ปกติคือ อากาศนี่แหละ
มองผ่านจอโทรศัพท์ เห็นอุณหภูมิอำเภอคลองหลวงอยู่ที่ 16 อศ.เซลเซียส
ไม่คิดว่ามันจะหนาว ไม่คิดว่าจะสั่น ไม่คิดว่าลมจะแรงขนาดนี้
นึกแล้วก็มันน่าจริงๆ เล้ย ก่อนออกจากห้องเกือบจะหยิบเสื้อกันหนาวมาแล้วเชียว
แต่สุดท้ายก็ไม่หยิบออกมา......งั้นก็ทนหนาวต่อไปละกัน

ความหนาวที่ว่านี้เป็นความแปลกใหม่ ณ ทุ่งรังสิตเลยก็ว่าได้นะ
อารมณ์แบบเดินออกจากห้องไม่ได้เลย (ก็มันอุ่นนี่หน่า)
เพราะอากาศข้างนอกช่างทำลายล้างจริงๆ มันแข็งได้เลย
เรียนที่นี่มาสี่ปีบวกกับที่กำลังทำงานอยู่ก็ย่างจะห้าปีละ
เพิ่งจะเคยเจอแบบหนาวสุดขั้วจริงๆ จังๆ ก็ปีนี้แหละ
แต่เหมือนจะเคยเกือบหนาวมากๆ อยู่ครั้งนึงเหมือนกันนะ
ถ้าจำไม่ผิดก็ตอนปลายปี 57 (ปี 3 เทอมหนึ่ง) แหละ
ตอนนั้นนั่งปั่นวิชาผดุงครรภ์อยู่ใต้ตึกคุณากรกับเหล่าบรรดาเพื่อนๆ
อารมณ์ตอนนั้นอยากจะทิ้งงานที่ค้างคาอยู่แล้ววิ่งไปหลบใต้ผ้าห่มให้รู้แล้วรู้รอด

พูดถึงความหนาวของปีนี้ เห็นว่าจะหนาวต่อไปอีกสองถึงสามวัน
และมีแนวโน้มว่าอุณหภูมิจะลดลงกว่านี้เสียอีก
เอาเส่....ไหนๆ ก็หนาวขนาดนี้แล้วเอาให้มันสุดๆ ไปเลยครับ
เด็กใต้อย่างเราตื่นเต้นนะสิ ทนหนาวก็ไม่ได้หรอก
หนาวทีไรสั่นระริกเลย.....แต่ไม่รู้ทำไมก็ชอบอากาศอย่างนี้นะ

โดยปกติแล้วเป็นคนไม่ชอบอากาศหนาวเลยก็ว่าได้นะ
เป็นคนที่ไม่ขี้ร้อน ทนร้อนได้ดี นอนต้องห่มผ้า ไม่ต้องเปิดแอร์
หรือแม้แต่ไม่เปิดพัดลมเลยก็ทำมาแล้ว

ถ้าให้ทวนความทรงจำ ก็คงจะพอจำได้ว่าที่ที่แรกที่ทำให้เราทนหนาวได้
ก็คือ กลางป่าเอราวัณ  ตอนนั้นนอนกลางป่ากลางดงของจริง
พอตกดึกนี่คือแบบเหมือนจะหนาวตาย คือมันอธิบายไม่ถูกจริงๆ
หลังจากนั้นก็ที่ดอยเต่า เชียงใหม่ แบบอุณหภูมิต่ำกว่า 10 องศาเซลฯ
และล่าสุดที่ทนหนาวได้ก็คือ ยอดภูกระดึง
สถานที่เหล่านี้แหละ ทำให้เรากลายเป็นคนทนต่อความหนาวได้ในเวลาต่อมา

จริงๆ แล้วพอเรามีประสบการณ์ มันเหมือนทำให้เรามีภูมิต้านทานต่อสิ่งเหล่านั้นมากขึ้นนะ
ประโยคๆ นี้มันจริงซะเหลือเกิน และวันหนึ่งเราเองก็จะเข้าใจกับประโยคนี้มากยิ่งขึ้น

"แล้วสักวันหนึ่งเมื่อเราโตขึ้น ประสบการณ์จะสอนเรา และทำให้เราแข็งแกร่งขึ้นเอง"




บรรยากาศตอนเกือบบ่ายโมง แถวๆ รพ.มธ. ฟ้ามืดครึ้ม ไม่มีแดดเลย
ที่สำคัญลมหนาวพัดแรงมาก

หน้าคลินิกฯ เวลาประมาณบ่ายโมง

THANKS


ขอบคุณที่เข้าใจ และพร้อมให้อภัยกันเสมอนะ
You are mine, you are my first...

นั่งดูบอล เซ็งเลยอุตส่าห์เชียร์อาเซน่อล
ดันแพ้เชลซี 1-0 ซะงั้น แพ้คาบ้านเลย
........................................................

สิ่งที่ต้องทำวันนี้ 25-01-59
  1. อยู่เวรเภสัชฯ (ในเวลา)
  2. นอกเวลาเวรหัตถฯ
  3. อ่านสือเตรียมสอบกพ.
  4. ซักผ้ากองที่เหลือ
  5. ปรับบุ๊คแบงก์ TMB

Again and Again

ถามว่าตอนนี้เป็นยังไง?

ตอบเลยว่า ในหัวมันโล่งไปหมด
มันไร้ความคิด ไร้จินตนาการ และไร้ความรู้สึก

แล้วสักวันเราจะกลับมาในรูปแบบใหม่

23-01-59

Quote ที่โคตรรัก

I don't read the newspapers, I don't watch the news.
I figure, if something important happens, someone will tell me.

Justin Trudeau

Prime Minister of Canada

You treat a disease, you win, you lose. You treat a person,
I quarantee you, you'll win, no matter what the outcome.

Patch Adams

An American physician

The best way to change is to make mistakes
you can learn from mistakes and then you keep moving on.

Keanu Reeves

The best actor

Reef Keeper
+66875444454
Nakhon Si Thammarat, Thailand

SEND ME A MESSAGE

ขับเคลื่อนโดย Blogger.